Rudy SCHOOL
https://youtu.be/Vr1I-_1Re4U?si=qJTtTM7agLaQB4oz
จุดเด่นของช่อง
- อธิบายได้ละเอียดชัดเจนมากๆ: เหมาะกับมือใหม่เป็นอย่างยิ่งที่จะมาเรียนรู้พื้นฐานที่ถูกต้อง ให้มีความรู้ความเข้าใจเพื่อการเทรดที่มั่นคงในระยะยาว ดังนั้นการที่ Rudy SCHOOL มาเปิดเผยกลยุทธ์การเทรดพร้อมอธิบายเหตุผลในการเข้าเทรดแต่ละไม้ จึงเป็นประโยชน์ต่อทุกคนอย่างมาก
- มีวินัยในการรอจังหวะเข้าเทรด :
ในการเทรด Binary Option จำเป็นที่จะต้องมีความอดทนสูง ไม่ต่างจากการเทรดประเภทอื่นๆ ดังนั้นการรอจังหวะเข้าเทรดในแต่ละไม้จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก การที่จะสามารถอยู่รอดในตลาดการเทรด Binary Option ได้อย่างมั่นคงนั้น จำเป็นที่จะต้องมีระบบการเทรดที่มีความเสถียร และการเฝ้ารอจังหวะการเข้าเทรด โดยไม่นำอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
- มีการใช้ Indicator ที่แปลกใหม่ : มีแนวทางการเทรดที่อาจจะเรียกได้ว่า เป็นรูปแบบที่แปลกใหม่ เหมาะสำหรับเทรดเดอร์หน้าใหม่ได้เรียนรู้ระบบการเทรดที่หลากหลาย
ข้อควรระวัง
- ต้องทุ่มเวลาในการเรียนรู้ Indicator ใหม่ๆ:
Indicator เปรียบเสมือนดาบสองคมของเทรดเดอร์ ที่ผู้ใช้จำเป็นต้องรู้ถึงที่มาและแนวคิดเป็นอย่างดี ถึงจะสามารถนำมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากขาดการศึกษาและการทดลองเทรดอย่างลึกซึ้ง อาจนำไปสู่การขาดทุนได้
- อาศัยประสบการณ์ในการเทรด:
การที่จะเริ่มนำเทคนิคใหม่ๆ หรือกลยุทธ์ใหม่ๆ มาเทรดในบัญชีจริงนั้นจำเป็นอย่างมากที่จะต้องมีความรู้เบื้องต้น และประสบการณ์ในการทดลองเทรด เพื่อที่จะสามารถนำเทคนิคใหม่ๆมาประยุกต์ใช้กับแผนการเทรดปัจจุบัน และทำให้กลยุทธ์การเทรดมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น
Indicator ที่ใช้
ชื่อ Indicator | จุดเด่น |
Stochastic (10,3,3) | บอก Overbought (ภาวะเมื่อมีการซื้อมากเกินไป) และ Oversold (ภาวะเมื่อมีการขายมากเกินไป) |
Fractal | ช่วยระบุการกลับตัวของกราฟ |
Alligator | ระบุแนวโน้มภาพรวมของตลาด |
Fractal คืออะไรมีหลักการใช้งานอย่างไร?
Fractal มักจะถูกใช้เพื่อระบุแนวโน้มเมื่อกราฟกำลังจะกลับตัว
- การบอกจุดกลับตัวของกราฟ : Fractal ถูกใช้เพื่อระบุจุดสูงสุดและต่ำสุดของราคาและบอกจุดที่กราฟกำลังจะมีแนวโน้มว่าจะเกิดการกลับตัว
- การยืนยันแนวโน้ม : Fractal สามารถใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น Moving Averages, RSI หรือ MACD เพื่อยืนยันแนวโน้มของตลาด เช่น การใช้ Fractal เพื่อยืนยันว่ากราฟกำลังเป็นขาขึ้นหรือกำลังจะเป็นขาลง เพราะว่าการใช้ Fractal อย่างเดียวไม่สามารถยืนยันได้อย่างแน่นอน เป็นเพียงแค่ความน่าจะเป็นว่ากราฟจะขึ้นหรือจะลง ดังนั้นเทรดเดอร์จึงจำเป็นต้องนำ Indicator อื่นๆมาดูประกอบไปด้วย
- การสร้างกลยุทธ์การเข้าเทรด: เทรดเดอร์สามารถใช้ Fractal เพื่อกำหนดจุดเข้าเทรดที่แม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากจะดู Indicator ตัวอื่นๆแล้ว หากมี Fractal เป็นตัวยืนยันก็จะสามารถทำให้การเข้าเทรดนั้นแม่นยำและทำให้เทรดได้อย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น
เงื่อนไขการเข้าเทรด
- ภาพรวมของกราฟ: เป็นขาลง
กราฟมีแนวโน้มเป็นไซด์เวย์ขาลงในภาพใหญ่
- Alligator: ชี้ไปในทิศทางขาลง
เส้น Alligator ทั้งสามเส้น (ปาก, ฟัน, ขากรรไกร) อยู่ในตำแหน่งที่บ่งบอกถึงแนวโน้มขาลง แท่งเทียนทะลุลงมาทั้งหมด - Stochastic: ชี้ไปในทิศทางขาลง
เส้น %K (สีน้ำเงิน) ตัดลงมาอยู่ใต้เส้น %D (สีแดง) ซึ่งเป็นสัญญาณของการกลับตัวเป็นขาลง หรืออย่างน้อยก็เป็นสัญญาณของโมเมนตัมที่อ่อนแรงลง - Fractal: ยืนยัน Put
มีสัญญาณ Fractal ที่เป็นลูกศรสีแดงชี้ลง ซึ่งเป็นการยืนยันสัญญาณขาย (Put) ตามแนวโน้มขาลง
วิเคราะห์กราฟเชิงลึก
การที่เลือก Put ในสถานการณ์นี้มีแนวโน้มในการทำกำไรได้มากกว่าเนื่องจาก:
- มีแนวรับที่ชัดเจน:
กราฟมีแนวรับที่ชัดเจนอยู่ด้านล่าง ซึ่งเป็นระดับราคาที่ราคามีแนวโน้มที่จะเด้งกลับขึ้นมา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่งและสัญญาณต่างๆ ที่บ่งชี้ว่าขาลงยังไม่จบ โอกาสที่ราคาจะลงไปทดสอบแนวรับนี้จึงมีสูง - ลักษณะของแท่งเทียน:
แท่งเทียนหลายแท่งก่อนหน้ามีลักษณะของแรงขายที่ค่อนข้างมาก เช่น มีขนาดใหญ่และปิดต่ำกว่าราคาเปิด ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงแรงกดดันขาลง - สัญญาณ Indicator:
ทั้ง Alligator, Stochastic, และ Fractal ต่างก็บ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าแนวโน้มขาลงยังคงดำเนินต่อไป
Mark Trader
https://www.youtube.com/watch?v=lrg5PRpVlZo
จุดเด่นของช่อง
- มีการวิเคราะห์กราฟที่แม่นยำ:
มีการอธิบายแต่ละจังหวะในการเข้าเทรดว่า ปัจจัยอะไรที่สามารถเป็นตัวตัดสินใจในการเข้าเทรดในแต่ละครั้ง มีการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบแสดงให้เห็นถึงวินัยในการเทรด เพราะหากมีวินัยในการเทรดมากพอ สามารถรอจังหวะการเข้าเทรดที่ดีได้ และสามารถบอกเหตุผลในการเข้าเทรดในแต่ละครั้งได้ จะทำให้การเทรดมีประสิทธิภาพและมั่นคงในระยะยาวนั่นเอง
- มีความชำนาญในการใช้ Indicator:
การเลือกใช้ Indicator ที่เป็นพื้นฐานของเทรดเดอร์ที่หากมีพื้นฐานของ Indicator เหล่านี้และมีความชำนาญมีความเข้าใจก็จะสามารถทำให้เทรดได้อย่างมั่นคงมากยิ่งขึ้นและสามารถยืนระยะในตลาดการเทรดได้อย่างยาวนานมากยิ่งขึ้น
- มีการเทรดที่เป็นระบบ: การที่เทรดเดอร์ทุกคนมีระบบที่เป็นของตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ดีอย่างมาก แต่อีกคำถามที่เชื่อว่าเทรดเดอร์ทุกคนจะต้องเคยมีนั่นก็คือ แล้วจะรู้ได้อย่างไรหละว่าระบบเทรดที่ใช้อยู่ปัจจุบันนั้นดีแล้ว? คำตอบของคำถามเหล่านั้นนั่นก็คือ ขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่ตัวเทรดเดอร์เองตั้งเป้าหมายไว้นั่นเอง เพราะทุกๆคนไม่ได้มีเป้าหมายที่เหมือนกันซะทีเดียว แน่นอนเป้าหมายของทุกๆคนคือสามารถทำกำไรในการเทรดได้ แต่หากมองดูลึกลงๆลงไป แล้วจะทำอย่างไรหละ? เทรดเดอร์บางคนอาจต้องการเทรดไม้ใหญ่ๆ เพื่อที่จะสามารถปั้นพอร์ต ให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว บางคนอาจแค่ต้องการเทรดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในแต่ละวัน ระบบในการเทรดที่ดีขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถทำให้เทรดเดอร์บรรลุเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้หรือไม่ และนั่นก็ขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจของแต่ละรายบุคคล
ข้อควรระวัง
- ต้องอาศัยความเข้าใจแผนการเทรด:
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ต้องเข้าใจก่อนว่าเป้าหมายของตัวเองคืออะไร อาจจะเพื่อปั้นพอร์ตให้โตอย่างรวดเร็ว หรืออาจจะเป็นการค่อยๆเทรดเพื่อบรรลุเป้าหมายในแต่ละวัน จะเห็นได้ว่าหากรู้ถึงเป้าหมายของตัวเองได้ว่า เทรดไปเพื่ออะไร ก็จะสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างเป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้น สามารถช่วยให้ตัดสินใจเลือก Indicator หรือแนวทางในการศึกษาได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
- การบริหารการเงินที่ดี:
การเทรดเพื่อจุดประสงค์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นการ เทรดเพื่อหวังผลกำไร หรือ จะเป็นเทรดเพื่อปั่นพอร์ต เน้นทำกำไรในระยะยาว เน้นความเสถียรภาพ การเทรดเหล่านี้ล้วนจำเป็นต้องใช้การบริหารการเงินที่ดี เพราะหากไม่มีการบริหารการเงินและการบริหารทางอารมณ์ ที่ดีจะนำไปสู่การขาดทุนในที่สุด
ต่อให้มีแผนการเทรดที่ดีเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์
Indicator ที่ใช้
ชื่อ Indicator | จุดเด่น |
ZigZag (15,2,3) | ใช้หาจุดกลับตัวของกราฟ |
Moving Average Convergence Divergence (MACD) | ใช้วิเคราะห์แนวโน้มภาพรวมของกราฟ |
Stochastic (14,3,3) | บอก Overbought (ภาวะเมื่อมีการซื้อมากเกินไป) และ Oversold (ภาวะเมื่อมีการขายมากเกินไป) |
เทคนิคการใช้ ZigZag ในการเทรด Binary Option
การระบุแนวโน้มหลักของกราฟภาพใหญ่
- ZigZag ช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นแนวโน้มหลักของกราฟได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งสามารถใช้ในการตัดสินใจว่าจะเข้าเทรดในทิศทางใด
- หากเส้น ZigZag มีลักษณะ Higher Highs และ Higher Lows ก็จะสามารถบอกได้คร่าวๆ ว่าภาพใหญ่ของกราฟนั้น กำลังเป็นขาขั้น
- หากเส้น ZigZag มีลักษณะ Lower Highs และ Lower Lows ก็จะสามารถบอกได้คร่าวๆ ว่าภาพใหญ่ของกราฟนั้น กำลังเป็นขาลง
การระบุจุดกลับตัวของกราฟ
- จุดปลายของเส้น ZigZag มักจะเป็นจุดกลับตัวที่สำคัญ สามารถใช้เพื่อระบุจุดที่กราฟกำลังจะกลับตัวและเป็นจุดที่เทรดเดอร์สามารถเข้าเทรดได้
- เมื่อเส้น ZigZag เปลี่ยนทิศทางจากขาขึ้นเป็นขาลง อาจเป็นสัญญาณให้ Put
- เมื่อเส้น ZigZag เปลี่ยนทิศทางจากขาลงเป็นขาขึ้น อาจเป็นสัญญาณให้ Call
การใช้ร่วมกับ Indicator อื่นๆ
- ZigZag ควรถูกใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นๆ เช่น RSI, MACD, หรือ Moving Averages เพื่อยืนยันสัญญาณ
- ตัวอย่างเช่น ใช้ RSI เพื่อระบุสภาวะ Overbought หรือ Oversold ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงทิศทางของ ZigZag เพื่อหาโอกาสการเข้าเทรดที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น แตกต่างจากการใช้ RSI เพียงอย่างเดียว
เงื่อนไขการเข้าเทรด

- ภาพรวมของกราฟ: เป็นขาลง
กราฟมีแนวโน้มเป็นขาลงในภาพใหญ่ ซึ่งเห็นได้จาก Zig Zag ที่มีจุดสูงสุดต่ำลงเรื่อยๆ
- MACD: ชี้ไปในทิศทางขาลง
เส้น MACD (สีน้ำเงิน) ตัดลงมาอยู่ใต้เส้นสัญญาณ (Signal line สีส้ม) และอยู่ในแดนลบ ซึ่งเป็นการยืนยันแนวโน้มขาลง
- Stochastic: อยู่ในโซน Oversold
หากพิจารณาจาก Stochastic เพียงอย่างเดียว การเข้า Put ในขณะนี้อาจไม่ใช่จังหวะที่ดีที่สุด เพราะมีความเสี่ยงที่ราคาจะเด้งกลับขึ้นมา
- แนวรับแนวต้าน:
มีแนวรับที่ชัดเจนบริเวณเส้นแนวนอนสีน้ำเงิน ซึ่งราคาได้ลงมาทดสอบหลายครั้งแล้ว
ดังนั้น หากต้องการเข้า Put ในสถานการณ์นี้ ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย และอาจต้องรอให้มีสัญญาณยืนยันเพิ่มเติม เช่น
- Stochastic: รอให้ Stochastic ตัดขึ้นในโซน Oversold และมีการกลับตัวขึ้นอย่างชัดเจน (แล้วค่อยพิจารณาหาจังหวะ Put แถวแนวต้าน)
- รูปแบบแท่งเทียน: รอให้เกิดรูปแบบแท่งเทียนที่มีแรงขาย เช่น Shooting Star หรือ Bearish Engulfing
- ราคา: รอให้ราคาเด้งขึ้นจากแนวรับและเริ่มอ่อนแรงลง
NTrade Binary
https://www.youtube.com/watch?v=QQ0YCTd5Eck
จุดเด่นของช่อง
- เน้นเทรดเพื่อปั้นพอร์ต:
เน้นความมั่นคงของพอร์ต เพื่อให้สามารถอยู่ในตลาด Binary Option ได้อย่างยาวนานและมั่นคง
- อธิบายเข้าใจง่าย:
มีการอธิบายที่เข้าใจได้ง่าย เป็นผลดีต่อเทรดเดอร์ที่ต้องการที่จะหาความรู้ใหม่ๆ เพื่อพัฒนาแผนการเทรดของตัวเองให้ดีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- การเลือกใช้ Indicator:
การเลือกใช้ indicator ที่เรียบง่าย จะสังเกตได้ว่าใช้ Indicator เพียงแค่ 2 ตัวเท่านั้นทำให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ เพราะว่ามีเงื่อนไขการเข้าเทรดที่น้อยกว่ากลยุทธ์การเทรดอื่นๆ
ข้อควรระวัง
- การบริหารเงินเพื่อปั้นพอร์ต: เพราะว่ามีเป้าหมายหลักคือการเทรดเพื่อปั้นพอร์ต ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการบริหารการเงินที่ดี เพื่อให้สามารถวางแผนการเทรดตามจำนวนของเงินทุนที่มี และสามารถทำกำไรในระยะยาวได้
- ควรทดลองใช้ Indicator มาเป็นอย่างดี:
การทดลองใช้ Indicator ก่อนการเทรดจริงเป็นอีกความสำคัญ เพื่อเพิ่มความเข้าใจในจังหวะและเงื่อนไขของการเข้าเทรด
Indicator ที่ใช้
ชื่อ Indicator | จุดเด่น |
Super trend (1,1) | ช่วยระบุแนวโน้มของตลาดอย่างชัดเจนด้วยการเปลี่ยนสีและตำแหน่งของเส้น |
Bollinger Bands | ใช้ในการวัดความผันผวนของตลาด |
เทคนิคการใช้ Supertrend ในการเทรด Binary Option
การบอกแนวโน้ม
- Supertrend จะเปลี่ยนสีและตำแหน่งเมื่อแนวโน้มเปลี่ยน เช่น หากเส้น Supertrend อยู่ใต้ราคาและเป็นสีเขียว หมายความว่าตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
- หากเส้น Supertrend อยู่เหนือราคาและเป็นสีแดง หมายความว่าตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลง
การเทรดตามแนวโน้ม
- Call เมื่อเส้น Supertrend อยู่ใต้ราคาและเป็นสีเขียว
- Put เมื่อเส้น Supertrend อยู่เหนือราคาและเป็นสีแดง
การใช้ร่วมกับ Indicator อื่นๆ
- เช่นเดียวกับ Indicator อื่นๆ หากต้องการเทรดให้อย่างมีประสิทธิภาพควรใช้ Supertrend ร่วมกับ Indicator อื่นๆ เช่น Moving Averages, RSI หรือ MACD
การตั้งค่า Supertrend
- ATR Period: กำหนดระยะเวลาที่ใช้ในการคำนวณค่าเฉลี่ยความผันผวน
- Multiplier: ตัวคูณที่ใช้ในการกำหนดระยะห่างของเส้น Supertrend จากราคา
เงื่อนไขการเข้าเทรด
- ภาพรวมของกราฟ:
กราฟมีแนวโน้มเป็น sideway ในภาพใหญ่
ราคาแกว่งตัวอยู่ในกรอบ Bollinger Bands
- Bollinger Bands:
เส้น Bollinger Bands บีบตัวแคบลง ซึ่งบ่งบอกถึงความผันผวนที่ลดลง และอาจเป็นสัญญาณเตือนว่ากำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม
- Supertrend:
เส้น Supertrend เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มจากขาลงเป็นขาขึ้น เป็นสัญญาณซื้อ (Call) ที่อาจเกิดขึ้น
เงื่อนไขการเข้าเทรดในสถานการณ์นี้คือ รอให้ราคายืนเหนือ Bollinger Band ด้านบนอย่างแข็งแกร่ง และ Supertrend ยังคงเป็นสีเขียว ซึ่งจะเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นและเป็นจังหวะที่ดีในการเข้า Call
สรุปใจความสำคัญ
- Fractal: ถึงแม้จะเป็น Indicator ที่ดูธรรมดา แต่เมื่อใช้ร่วมกับ Indicator อื่นๆ จะช่วยยืนยันจุดเข้าเทรดได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
- ZigZag: เป็น Indicator ที่มีประโยชน์ในการระบุแนวโน้มหลักและจุดกลับตัวของกราฟ แต่หลายคนอาจมองข้ามไป
- Supertrend: เป็น Indicator ที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพในการระบุแนวโน้มและหาจังหวะเข้าเทรด
การนำ Indicator ทั้ง 3 ตัวนี้มาใช้ร่วมกัน จะช่วยให้เทรดเดอร์มีมุมมองที่หลากหลายและครอบคลุมมากขึ้นในการวิเคราะห์กราฟ และสามารถตัดสินใจเข้าเทรดได้อย่างมั่นใจมากขึ้น