ก่อนที่จะทำการเข้าเทรดไม่ว่าจะตลาดใดตลาดหนึ่ง เทรดเดอร์จำเป็นที่จะศึกษาตลาดการเทรดนั้นๆเสียก่อนเสมอเพราะหากความรู้และไร้ประสบการณ์ก็จะไม่สามารถทำกำไรในตลาดได้ โดยเทรดเดอร์จะต้องเลือกทางที่ตัวเองจะศึกษาอย่างรอบคอบ เพราะว่าหากมีการเรียนรู้ไปในทางที่ถูกหลัก หรือเป็นขั้นเป็นตอน ก็จะสามารถทำความเข้าใจทิศทางของราคา เหตุและผลว่าทำไมทิศทางของกราฟจึงเป็นเช่นนั้น
ปัจจัยเบื้องต้นที่จะทำให้อยู่รอดในตลาด Binary Option
คำศัพท์ | คำอธิบาย |
Call Option | เทรดเดอร์วิเคราะห์ว่าราคาของสินทรัพย์หรือสินค้าจะเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่กำหนด |
Put Option | เทรดเดอร์วิเคราะห์ว่าราคาของสินทรัพย์หรือสินค้าจะลดลงในช่วงเวลาที่กำหนด |
In the Money | เมื่อราคาปัจจุบันของสินทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลง้ตรงกับทิศทางที่เทรดเดอร์วิเคราะห์ |
P&L (Profit and loss) | กำไรและขาดทุน |
Pending Order | คำสั่งที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเพื่อทำการเปิดตำแหน่งในราคาที่กำหนดไว้ |
ROI(Return Of Investment) | เปอร์เซ็นต์ผลตอบแทนในการลงทุน |
Winrate | เปอร์เซ็นอัตราการชนะ |
Capital | เงินทุน |
-
Mindset
เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆเหนือสิ่งอื่นใด เป็นปัจจัยหลักในการเทรด เพราะว่าการที่เริ่มจากการมี Mindset ที่ดีนั้นสำคัญกว่าการมีเงินทุนที่เยอะ แต่ไม่มี Mindset ที่ดีเป็นเพราะว่าการที่จะทำการเทรดในแต่ละครั้งต้องยอมรับความเสี่ยงให้ได้ และที่สำคัญคือต้องคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้และมีสติ หากล้มก็ให้ลุกขึ้นใหม่เรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดและนำมาวิเคราะห์หาสาเหตุของความผิดพลาดและจดจำ ปรับใช้กับการเทรดครั้งหน้า
-
Money Managements
การที่เทรดเดอร์ทำการ Money Management ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆต่อการเทรดเพราะเป็นเทคเนิคการบริหารการเงินที่จำเป็นต้องทำ เพื่อให้สามารถจัดสรรพอร์ตของตนเองได้โดยสามารถแบ่งเทคนิคเบื้องต้นในการทำ Money Managements ได้ดังนี้
- จัดสรรเงินในพอร์ต
-
-
- ไม่ควรเสี่ยงเงินทุนทั้งหมดในการเทรดครั้งเดียว
- พอร์ตการลงทุนที่พร้อมจะสูญเสียในแต่ละการเทรดโดยไม่มีผลกระทบต่อการเงินทั่วไป
-
- คำนวณขนาดไม้ที่สามารถเล่นได้
-
-
- หลีกเลี่ยงการที่เข้าเทรดมีขนาดใหญ่เกินไปทำให้เสี่ยงในการสูญเสียเงินทุน
- กำหนดขนาดไม้ให้เหมาะสมกับวงเงินที่เสี่ยงได้ในแต่ละการเทรด
-
- คำนวณกรณีที่มีการขาดทุน
-
-
- การเสียเงินคงที่: กำหนดจำนวนเงินที่จะเสี่ยงในแต่ละการเทรดแต่ละไม้ให้คงที่
- การเสียเงินเป็นส่วน: กำหนดเปอร์เซ็นต์ของยอดเงินในบัญชีที่จะเสี่ยงในแต่ละการเทรด
-
- กำหนดค่ากำไรและขาดทุนที่เหมาะสม
-
-
- การกำหนดเป้าหมายของกำไรและขาดทุนที่เหมาะสมในแต่ละการเทรด
-
- ติดตามและปรับปรุงแผนการบริหารจัดการเงินอย่างสม่ำเสมอ
-
-
- ตรวจสอบและปรับปรุงแผนการบริหารจัดการเงินตามผลการเทรดล่าสุด
-
- ใช้ Stop Loss ของพอร์ต
-
-
- กำหนดระดับ Stop Loss เพื่อป้องกันความสูญเสียเงินทุนที่เกินไปในแต่ละการเทรด
-
- ระมัดระวังในการเสี่ยงเงิน
-
-
- ไม่ควรเสี่ยงเงินทุนที่คุณไม่สามารถขาดได้
- พิจารณาผลกระทบที่เป็นไปได้และเตรียมพร้อมต่อมัน
-
- ศึกษาและเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ:
-
-
- ศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับตลาด Binary Option และเครื่องมือการเทรดต่างๆ
- พัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรดและการวิเคราะห์ตลาด
-
-
หา Strategy การเทรด
การที่เทรดเดอร์ต้องการเทรดเพื่อทำกำไรเมื่อมีแผนการบริหารเงิน Money Management และ Mindset ที่ดีแล้ว จำเป็นที่จะต้องหาแผนการเทรด หรือ Strategy การเทรด เมื่อสร้างเงื่อนไขการเข้าเทรดแต่ละไม้ได้ การที่สามารถสร้างแผนการเทรดของตนเองได้จะเป็นผลดีต่อกำไรของพอร์ต
- หา Trend ที่ตนเองถนัด
- หา Demand Supply Zone
- หา Liquidity Pool
- ปรับ Indicator ที่เขากับแผนการเทรด เช่น
- Stochastic
- RSI (Relative Strenght Index)
- MACD (Moving Average Convergence Divergence)
Back test, Forward test
เมื่อได้แผนการเทรดที่คงที่แล้วการที่จะเช็คได้ว่า แผนการเทรดนี้สามารถทำกำไรได้หรือไม่จำเป็นจะต้องทำการ Back test และ Forward test โดยการปรับใช้เงื่อนไขการเทรดจากกลยุทธ์ที่เราปรับใช้นำมาทดสอบกับกราฟย้อนหลัง หรือทำการทดสอบแบบ Real time โดยจดบันทึกสถิติ Win rate โดยสามารถเริ่มจากการใช้ Demo Account ก่อนก็ได้เพื่อให้สามารถคำนวณถึงจำนวณเงินที่สามารถนำไปเทรดเมื่อเทียบกับ Win rate ของแผนการเทรดแล้ว การทำสถิติก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน
การจดบันทึก Statistic.
การจดบันทึกสถิติในการเทรด Binary Option เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้เทรดเดอร์วิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์หรือการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น นี่คือบางข้อมูลสถิติที่เทรดเดอร์ควรให้ความสำคัญ
- สรุปผลการเทรด: บันทึกผลลัพธ์ของการเทรดทุกครั้ง รวมถึงกำไรหรือขาดทุนที่ได้ เวลาที่ทำการเทรด และประเภทของ Binary Option ที่ใช้
- สถิติการเทรด: บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับความสำเร็จของการเทรด เช่น อัตราการชนะเดือนละครั้ง ร้อยละของกำไรที่ทำได้ เปรียบเทียบกับขาดทุน และอัตราการชนะโดยรวม
- ความเสี่ยง: บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่คุณยอมรับในการเทรด รวมถึงขนาดไม้ที่เล่น และการจัดการความเสี่ยง
- เวลาการเทรด: บันทึกช่วงเวลาที่คุณมักจะทำการเทรด เพื่อหาแนวโน้มหรือข้อได้เปรียบในเวลาใดของวันหรือสัปดาห์ที่เหมาะสมที่สุด
- การวิเคราะห์: บันทึกการวิเคราะห์ตลาดที่ทำไว้ก่อนการเทรด รวมถึงการตัดสินใจซื้อหรือขายอย่างไร
- ปัญหาในการเทรด: บันทึกปัญหาที่พบในการเทรดและวิธีการแก้ไข เพื่อที่จะสามารถนำไปปรับใช้
คำแนะนำเบื้องต้น
- เรียนรู้ตลาด: ศึกษาและเข้าใจตลาดที่สนใจ เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ส่งผลต่อราคา เช่น ข่าวสารเศรษฐกิจ หรือเหตุการณ์ต่างๆที่อาจส่งผลต่อราคาได้ เช่น การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส, สงคราม เป็นต้น
- เลือกโบรกเกอร์เชื่อถือได้: เลือกโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียงและมีการรับรอง เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและเชื่อถือได้ในการเทรด อาจดูรีวิวต่างๆและข้อดีข้อเสียเช่น เวลาการฝากถอนเงิน
- วางแผนการจัดการเงิน: กำหนดเงินทุนและทำการ Money Management เพื่อที่จะไม่ทำให้การขาดทุนส่งผลกระทบต่อชีวิตของเทรดเดอร์
- สร้างกลยุทธ์ที่ถนัด: สร้างกลยุทธ์การเทรดที่ชัดเจนมีเงื่อนไขในแต่ละครั้งโดยอาจดูจาก Indicator ต่างๆและมีการจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
- ทดลองด้วยบัญชี Demo ก่อน: ทดลองกับบัญชี Demo ก่อนลงทุนด้วยเงินจริง เพราะการที่เทรดด้วยบัญชี Demo สามารถเป็นตัวทดลองอะไรหลายๆอย่างได้ดี ยกตัวอย่างเช่น การหา Indicator ใหม่ๆ หรืออาจจะเป็นการหาเงื่อนไขการเทรดใหม่ๆในแต่ละช่วงเวลา อาจเป็นตัวช่วยในการเรียนรู้ Pattern กราฟ
- Trade Without Emotion: อย่าให้ตัวเองหลงระเริงไปกับอารมณ์ความโลภในการเทรดของตนเอง เพราะเมื่อไหร่ที่เราควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้ ความโลภจะเข้ามาทำให้เราหลงลืมแผนและความคิดของเราเอง เราควรMM ทั้งพอร์ตและควบคุมอารมณ์และความคิดของราเองด้วย ยอมรับในการแพ้และชนะให้เป็น คิดคำนวณวิธีการการเทรดเพื่อเอาส่วนที่ขาดทุนไปกลับคืนมาอย่างรอบคอบและอยู่ในแผน
- การเรียนรู้และพัฒนาตนเอง: เรียนรู้จากประสบการณ์การเทรดของคนอื่นโดยเรียนรู้ และเก็บข้อดีข้อเสีย มาพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้จากความผิดพลาด และนำข้อคิดข้อควรระวังจากผู้อื่น นำมาปรับใช้กับตนเองทั้งทาง Mindset และ Strategy
ข้อผิดพลาดที่เทรดเดอร์มักเจอ
- ขาดความเข้าใจในการวิเคราะห์ตลาด: คือการขาดความรู้ความเข้าใจใน Pattern กราฟ เพราะว่าการที่ขาดความเข้าใจในกลยุทธ์ต่างๆเป็นผลเสียอย่างมาก สามารถนำไปสู่การขาดทุนได้ ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่เทรดเดอร์ทุกคนควรมีเป็นพื้นฐาน
- การจัดการเงินที่ไม่เหมาะสม: การใช้เงินมากเกินไปหรือการ Over trading และการขาดการบริหารการเงิน หรือ Money Management หามีเงินมากมายเท่าไหร่แต่ถ้าหากขาดสติและการวางแผนที่ดีก็จะสามารถนำไปสู่การขาดทุนอย่างต่อเนื่องได้
- การใช้กลยุทธ์ที่ไม่เหมาะสม: การเลือกใช้กลยุทธ์ไม่เหมาะสมกับตัวเทรดเดอร์ การเลือกใช้กลยุทธ์ต่างๆที่เข้ากับตัวเทรดเดอร์ก็ถือว่าเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลอย่างมาก เพราะหากเทรดเดอร์ไม่รู้ถึงความถนัดเช่น ช่วงเวลาที่ถนัด หรือ Time Frame ที่ถนัด ก็จะเสียเปรียบในตลาด Binary Option ที่เน้นการเข้าเทรดที่แม่นยำและจำเป็นจะต้องใช้ความคงที่ของกลยุทธ์
- การเทรดโดยไม่มีแผนการเทรด: คือการเทรดโดยไม่มีแผนชัดเจนและลงตัว หรืออาจจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอาจนำความรู้ต่างๆมาผสมกันเยอะจนเกินไป อาจทำให้เกิดผลเสีย เพราะอะไรที่มากและซับซ้อนจนเกินไป อาจนำไปสู่การสับสนในการเข้าเทรดในแต่ละครั้งและอาจนำไปสู่การขาดทุน
- การไม่สำรวจและปรับปรุง: การไม่ดูผลการเทรดที่ผ่านมาและปรับกลยุทธ์ตามผลการวิเคราะห์ตามที่ตั้งเงื่อนไขไว้ การจด Stat ต่างๆไม่ว่าจะเป็น Win rate หรือ กำไรขาดทุนของพอร์ต ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากยกตัวอย่างเช่นต้องการดูว่าแผนการเทรดนี้เป็นผลดีหรือไม่ก็สามารถดู Win rate ที่บันทึกไว้ได้เลย จึงเป็นความสำคัญอย่างมากที่จะนำสถิติเข้ามามีส่วนร่มในการพัฒนาและปรับปรุงพอร์จให้มีกำไรมากขึ้น
- เทรดโดยใช้อารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง: การเทรดโดยมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องคือผลเสียอย่างมากในการเทรด เพราะเมื่อต่อให้เทรดเดอร์มีกลยุทธ์ที่ดีมีแผนที่ดี แต่ขาดการควบคุมอารมณ์และสติ กลยุทธ์ต่างๆก็อาจไม่เป็นผลเพราะขาดการควบคุมอารมณ์ในการเทรดดังนั้นจึงควรเทรดโดยไม่นำอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย Trade Without Emotion
สรุปใจความสำคัญ
โดยจากบทความทั้งหมดสามารถสรุปหัวข้อหลักๆและประเด็นสำคัญได้ดังนี้
- เรียนรู้พื้นฐานกลไกตลาด Binary Option
- หากลยุทธ์ที่เหมาะสม
- มี Mindset ที่ดี
- บริหารเงินทุนให้เป็น
- Back test และ Forward test
- จดบันทึกและปรับปรุง
- Trade Without Emotion
การเทรด Binary Option เป็นการลงทุนที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก และควรทำการวางแผนและศึกษาอย่างละเอียดก่อนการลงทุนใดๆ หากคุณไม่มั่นใจ คุณสามารถขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในการลงทุนก่อนที่จะเริ่มต้นในตลาดนี้ หรือสืบค้นหาข้อมูลตามเว็บไซต์ต่างๆ เมื่อคิดว่าตนเองเริ่มมีความรู้ในระดับที่พอจะเทรดได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปที่คุณควรทำคือการทดลองเทรดบัญชีทดลอง เพื่อวัดความรู้และความเข้าใจในการเทรดของตัวคุณหรือเพื่อทดลองเทคนิคในการทำกำไรของคุณ เมื่อคุณมั่นใจในตนเองในระดับที่คิดว่าสามารถทำกำไรได้มากกว่าขาดทุน และสามารถประคองพอร์ตของคุณได้คุณก็สามารถที่จะเปิดพอร์ตเพื่อเริ่มเทรดได้เลย